“แต่ท่านขุนนางนั้นเห็นว่าเป็นท่าอันควรที่จะมีชื่อ จึงให้ตั้งชื่อของท่านั้นว่า ท่าราชวรดิฐ ราชะ แปลว่า พระยามหากษัตริย์ วระ แปลว่า ประเสริฐ ดิฐ แปลว่า ท่าน้ำหรือฝั่งตลิ่ง ก็ได้ รวมสามคำว่า ราชวรดิฐ นั้น แปลรวมๆ รวบๆ ว่าท่าอันประเสริฐแห่งราชการดังนี้ มีปรากฏแน่แต่ไม่ใคร่เรียกตามชื่อหลวง ยังหลงเรียกอยู่แต่ว่า ท่าขุนนาง อย่างเก่าๆ เหมือน ท่าช้างลงน้ำ ก็มีชื่อหลวงว่า ท่าพระ แต่คนชอบเรียกว่าท่าช้าง และไม่ใคร่จะได้ยินใครเรียกว่า ท่าพระ เพราะความเพ่งหมายของผู้ที่เรียกท่านั้น ไม่เห็นมีวัดอยู่บนบก ไม่เห็นพระลงอาบน้ำที่ท่านั้น ก็สำคัญใจเป็นแน่ดังนี้ จึงไม่อาจเรียกท่าพระๆ ก็ใช้แต่ราชการเป็นคราวๆ คงเรียกว่าท่าช้างอยู่ตามเดิม คำนี้ต้องยอมให้เรียก เพราะเขาเห็นช้างมาลงอาบน้ำจริงๆ”
พระราชนิพนธ์ตอนหนึ่งเรื่องตำหนักแพในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่4) ที่แสดงให้เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายเห็นว่า “ท่าช้าง” นั้นมีชื่อทางราชกาลว่า “ท่าพระ” แต่เนื่องจากประชาชนคนไทยจำนวนไม่น้อยคุ้นชินกับการเรียกว่าท่าช้างมากกว่า จึงเรียกชื่อนี้มาจนกระทั่งปัจจุบัน
แต่เดิมบริเวณท่าช้างเป็นวังที่เจ้านายหลายพระองค์เคยอยู่อาศัยมาก่อน บริเวณตึกแถวและที่มหาวิทยาลัยศิลปากรปัจจุบันนี้เคยเป็นวังของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “วังท่าพระ” โดยในยุคแรกๆ เมื่อครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก วังแห่งนี้ก็เป็นวังที่ที่ได้โปรดฯ ให้สร้างขึ้น เพื่อพระราชทานให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้ากรมขุนกระบัตรานุชิต ซึ่งเรียกกันว่า “เจ้าฟ้าเหม็น” พระราชนัดดาได้ประทับอยู่ตลอดพระชนมายุ ถึงรัชกาลที่ 2 ได้พระราชทานให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เมื่อเสด็จดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ครั้นเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติในรัชกาลที่ 3 ก็ได้พระราชทานให้เป็นที่ประทับ ของพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าลักขณานุคุณ และเมื่อพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ สิ้นพระชนม์ ก็ได้พระราชทานให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชุมสาย และเมื่อพระองค์เจ้าชุมสาย (กรมหมื่นราชสีหวิกรม) สิ้นพระชนม์แล้ว ถึงรัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งต่อมาได้ทรงสถาปนาเป็นกรมพระยา
เมื่อได้ออกพระนามพระองค์เจ้าเธอเจ้าลักขณานุคุณ ก็อดที่จะนึกถึงท่านสุนทรภู่ไม่ได้ เพราะท่านเป็นกวีที่เจ้านายพระองค์นี้ทรงพระปรานีอยู่มาก และตามประวัติก็ได้กล่าวว่าเมื่อสุนทรภู่เป็นกวีที่ปรึกษาในรัชกาลที่ 2 นั้น ได้ตั้งเป็นขุนสุนทรโวหารในกรมพระอาลักษณ์ และพระราชทานให้ปลูกเรือนอยู่บนพื้นที่ซึ่งเคยเป็นวังมาก่อน โดยมีลักษณะเป็นตึกแถวโบราณ เป็นสถาปัตยกรรมชิ้นหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยสดงดงาม ซึ่งปัจจุบันยังคงเหลือความไว้จำนวน 33 คูหา ถือเป็นชิ้นงานที่ได้รับอิทธิพลมาจากยุโรป ตั้งแต่ยุคคลาสสิกจนถึงยุคเรอเนซอง และได้สร้างบนพื้นที่ซึ่งเคยเป็นกำแพงของวังท่าพระมาก่อน แต่ต่อมาภายหลังสุนทรภู่ถูกปลดจากขุนสุนทรโวหาร ตึกแถวนี้จึงถูกเวนคืน ปัจจุบันนี้อยู่ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งให้เอกชนเช่าทำการค้า บรรยากาศของถนนหน้าพระลานบริเวณตึกแถวโบราณนี้จึงมีความร่มรื่นเป็นอย่างมาก มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ที่ใช้ตึกแถวอันเก่าแก่นี้เป็นที่ประกอบการมากมาย เสริมสร้างให้ริมฝั่งถนนบริเวณท่าช้างแลดูมีชีวิตชีวาตลอดเวลา
ทุกวันนี้ชุมชนท่าช้างยังมีร้านเก่าแก่หลงเหลืออยู่ให้เห็นหลายร้านด้วยกัน อาทิ ร้านนิติเวชซึ่งขายหนังสือกฎหมายล้วนๆ ขายมานานถึง 50-60 ปีแล้วเห็นจะได้ ปัจจุบันก็ยังขายอยู่ที่ทำการไปรษณีย์สาขาหน้าพระลานก็ยังคงรักษาสภาพตึกเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ที่น่าสนใจมากก็คือห้องแถวริมสุดที่ติดกับประตูวังท่าพระ ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยศิลปากรในปัจจุบันนี้ ถือเป็นร้านอาหารเก่าแก่ โดยมีเรื่องเล่าต่อกันมาเป็นเวลายาวนานว่า “ร้านมิ่งหลี” คือสถานที่ที่ศิลปินหน้าพระลานอย่างท่านอังคาร กัลยาณพงษ์ ช่วง มูลพินิจ สุวรรณี สุคนธา หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ ใช้เป็นที่นัดพบกันเป็นประจำ
ท่าช้างวังหลวง จึงเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่สามารถเป็นที่นัดพบและหาของอร่อยๆ รับประทานได้ โดยเฉพาะในอดีตในวันทำราชการทุกเช้า-เย็น จะพบเห็นข้าราชการทหารจากกระทรวงกลาโหม ข้าราชการกระทรวงการคลัง แต่งเครื่องแบบงามสง่า เดินไปมาบนถนนหน้าพระลานกันขวักไขว่ บางครั้งบางคราวก็จะมีผู้สูงอายุถือไม้เท้า สวมหมวกกะโล่ซึ่งเป็นหมวกกันแดดชนิดหนึ่ง ทรงคลุ่ม ลักษณะมีปีกแข็งโดยรอบ โครงทำด้วยไม้ฉำฉาหรือไม้ก๊อก แล้วหุ้มด้วยผ้าหรือทำด้วยใบลาน ใส่เสื้อคอปิด เดินทอดน่องอยู่บนบาทวิถี
วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าล่วงสู่ปัจจุบัน ภาพเก่าๆ แห่งความทรงจำเหล่านี้ ค่อยเลื่อนหายไปตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป ท่าช้างบนถนนหน้าพระลานกำลังเต็มไปด้วยยวดยานที่แออัดจอแจตึก แถวหน้าพระลานก็คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างภาษา ที่มาชมมหาราชวัง ....