อนุสาวรีย์ปราบกบฏที่หลักสี่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยบนถนนราชดำเนิน พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 หน้ารัฐสภา และอนุสาวรีย์วีรชน (ที่ยังสร้างไม่เสร็จ) บริเวณสี่แยกคอกวัว เป็นอนุสาวรีย์ 4 แห่งที่บอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันเกี่ยวกับประชาธิปไตย ในประเทศไทย
ดร. ธงชัย วินิจจะกูล อดีตหนึ่งในผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์อยู่ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา กล่าวไว้ในการปาฐกถาพิเศษ เพื่อร่วมเฉลิมฉลอง (อดีต) วันชาติไทย 24 มิถุนายน ซึ่งจัดโดยภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า หากเราศึกษาอนุสาวรีย์ในฐานะที่เป็นเรื่องเล่าของประชาธิปไตยก็จะพบว่า อนุสาวรีย์เหล่านี้เป็นตัวแทนของประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน อนุสาวรีย์บางแห่งยังสามารถเป็นตัวแทนของประวัติศาสตร์ได้มากกว่า 1 แบบอีกด้วย ประเด็นจึงอยู่ที่การต่อสู้ของเรื่องเล่าแบบต่าง ๆ ที่อยู่เบื้องหลังสิ่งก่อสร้างเหล่านี้
เริ่มต้นที่ อนุสาวรีย์ปราบกบฏที่หลักสี่ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงการปราบกบฏบวรเดช เมื่อปี 2476 ฝ่ายกบฏในครั้งนั้นเป็นกลุ่มนายทหารชั้นผู้ใหญ่ นำโดยพระองค์เจ้าบวรเดช ทหารกลุ่มนี้ไม่พอใจรัฐบาลคณะราษฎรและระบอบการปกครอง ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จึงได้ก่อการกบฏขึ้น โดยรวบรวมกองกำลังทหารและเคลื่อนพลเข้ายึดกองบินดอนเมืองไว้ได้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2476
ฝ่ายกบฏได้ยื่นหนังสือขอทำความตกลงกับรัฐบาลซึ่งในขณะนั้นมีพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี ข้อตกลงดังกล่าวมีทั้งหมด 6 ข้อ กล่าวคือ ให้มีพระมหากษัตริย์ปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญตลอดไป การแต่งตั้งและถอดถอนคณะรัฐบาลต้องเป็นไปตามเสียงข้างมาก ไม่ใช่ด้วยการใช้อาวุธ ข้าราชการประจำทั้งทหารและพลเรือนต้องอยู่นอกการเมือง ผู้บัญชาการทหารบก ทหารเรือ ต้องไม่มีหน้าที่ในการเมือง การแต่งตั้งข้าราชการต้องถือคุณวุฒิความสามารถเป็นหลัก ไม่นำการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง การเลือกตั้งผู้แทนราษฎรประเภท 2 ต้องถวายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเลือก ให้เฉลี่ยอาวุธสำคัญไปตามหน่วยงานทหารท้องถิ่น และขอให้ออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม
รัฐบาลไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของฝ่ายกบฏ จึงเข้าทำการปราบปราม การต่อสู้ยุติลงโดยชัยชนะเป็นของฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายกบฏล่าถอยกลับไป ส่วนพระองค์เจ้าบวรเดชหนีไปอยู่อินโดจีน ทหารและตำรวจฝ่ายรัฐบาลเสียชีวิต 17 นาย ได้พระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุท้องสนามหลวง ต่อมารัฐบาลได้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้นที่ตำบลหลักสี่ บางเขน แล้วจึงนำอัฐินายทหารและตำรวจที่เสียชีวิตในครั้งนั้นมาบรรจุไว้ และทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2479
ดร. ธงชัย มองว่า การปราบกบฏของรัฐบาลคณะราษฎรในครั้งนั้นเป็นการกระทำเพื่อ "พิทักษ์รัฐธรรมนูญ" อันเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยที่ได้มาจากการปฏิวัติ 2475 " ถ้าพูดภาษาผมก็คือ ฝ่ายที่ก่อกบฏพยายามทำลายดอกผลของการปฏิวัติ 2475 ซึ่งเขาเรียกการมีรัฐธรรมนูญแบบใหม่และการปฏิวัติว่าเป็นการพยายามสร้างประชาธิปไตย"
"นักประวัติศาสตร์ทางการเมืองสมัยหลัง เรียกเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่าเป็นการต่อสู้กับตัวแทนของอำนาจเก่า หรือเรียกอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นการชนะฝ่ายเจ้า หลายคนมองว่ากบฏบวรเดชเป็นพยายามของฝ่ายเจ้าที่จะฟื้นอำนาจที่เสียไปให้แก่คณะราษฎรในการปฏิวัติปี 2475" ดร. ธงชัยกล่าว
อนุสาวรีย์ที่ 2 คือ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ถนนราชดำเนิน ซึ่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีได้ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2483 ปีกทั้ง 4 ด้านของอนุสาวรีย์ ซึ่งมีความสูง 24 เมตร และมีรัศมีอยู่ห่างจากศูนย์กลางของตัวอนุสาวรีย์ที่ตั้งพานรัฐธรรมนูญออกไปยาว 24 เมตร นั้น หมายถึงวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือวันที่ 24 มิถุนายน พานรัฐธรรมนูญที่ตั้งอยู่บนป้อมกลางอนุสาวรีย์มีความสูง 3 เมตร หมายถึงเดือนที่ 3 อันเป็นเดือนแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (สมัยก่อนนับว่าเดือนเมษายนเป็นเดือนที่ 1) รูปพระขรรค์ทั้ง 6 ที่ตั้งประดับโดยรอบป้อมกลางที่ตั้งพานรัฐธรรมนูญ หมายถึงหลัก 6 ประการของคณะราษฎร และปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่รอบอนุสาวรีย์มี 75 กระบอก หมายถึงปีพุทธศักราช 2475
เพื่อความเข้าใจถึงที่มาของอนุสาวรีย์แห่งนี้ ดร. ธงชัยเล่าว่า "การปฏิวัติ 2475 ไม่ใช่การปฏิวัติ ที่เกิดขึ้นแล้วสิ้นสุดเลย แต่ยังคงมีการต่อสู้ ยื้อแย่ง มีการปะทะกันระหว่างกลุ่มอำนาจต่าง ๆ ในระบบการเมืองไทยอยู่นานพอสมควร กบฏบวรเดชที่เกิดขึ้นในปี 2476 ก็เป็นปรากฏการณ์สำคัญปรากฏการณ์หนึ่งของการต่อสู้ระหว่างอำนาจหลายฝ่ายนี้ โดยเฉพาะระหว่างฝ่ายที่คัดค้านคณะราษฎร และไม่เห็นด้วยกับระบบหลัง 2475 กับฝ่ายที่สนับสนุนการปฏิวัติ 2475 แม้แต่การที่รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติเมื่อปี 2478 ก็ยังอยู่ในบริบทของการที่อำนาจอย่างน้อย ๆ สองฝ่ายหลัก คือฝ่ายที่สนับสนุนกับคัดค้านการปฏิวัติ 2475 ต่อสู้กัน"
เรื่องดังกล่าวสอดคล้องกับที่อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนไว้ในบทความเรื่อง "สงครามอนุสาวรีย์กับรัฐไทย" ว่า "...ปี พ.ศ. 2482 ประสบการณ์ทางการเมืองของกลุ่มผู้นำคณะราษฎรที่มีอำนาจอยู่ และบรรยากาศทางการเมืองในขณะนั้นก็คือ ความระแวงสงสัยกันอย่างหนักระหว่างกลุ่มผู้ครองอำนาจและกลุ่มที่เป็นอริ จะด้วยเหตุใดก็ตาม กลุ่มคณะราษฎรผู้ครองอำนาจเห็นว่า อริของตนนั้นส่วนใหญ่แล้วจะหันไปร่วมมือกับกลุ่มเจ้าซึ่งเคยมีอำนาจอยู่เดิม ได้พยายามบ่อนทำลายอำนาจของกลุ่มคณะราษฎรผู้ครองอำนาจ ทั้งด้วยวิธีที่อยู่ในวิถีทางรัฐธรรมนูญและนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญ เช่น ประกาศปิดสภาหรือยกกำลังทหารจากหัวเมืองมาพยายามทำรัฐประหารในกรุงเทพฯ เหตุฉะนั้นกลุ่มผู้ครองอำนาจในคณะราษฎรจึงตกอยู่ในภยันตรายรอบข้าง" (ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 11 ฉบับที่ 3)
แต่เหตุการณ์ที่ ดร. ธงชัยเห็นว่าเป็นจุดสุดท้ายหรือจุดสิ้นสุดของการเผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายเจ้ากับฝ่ายคณะราษฎร ที่เกิดขึ้นตลอดช่วงปี 2475-2781 ก็คือ การประหารนักโทษการเมือง 18 คน โดยคำสั่งของรัฐบาลหลวงพิบูลสงคราม ในช่วงวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึง 3 ธันวาคม 2482 และหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่นาน คณะรัฐบาลก็ได้มีมติให้สร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยขึ้น
"การที่จอมพล ป. เถลิงอำนาจเป็นจอมเผด็จการ ได้ชัยชนะเหนือฝ่ายคัดค้านการปฏิวัติ 2475 ค่อนข้างเด็ดขาด อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจึงเกิดขึ้นภายใต้บริบทที่รัฐบาลกำราบอำนาจเก่าได้อย่างสิ้นซาก อย่างน้อยในสายตาของจอมพล ป. และฝ่ายสนับสนุนการปฏิวัติก็เห็นว่า เมื่อถึงช่วงต้น ๆ ของปี 2480 นั้น ความตึงเครียดที่เกิดจากการปะทะกับฝ่ายอำนาจเก่าถึงจุดที่ค่อนข้างเด็ดขาด ไม่มีทางที่จะรื้อฟื้นกลับมาเป็นแบบเดิมได้อีกแล้ว อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่จอมพล ป. สร้างขึ้นจึงเป็นสัญลักษณ์ของการสถาปนาประชาธิปไตยแบบคณะราษฎรที่มีทหารเป็นแกนนำ"
จากเรื่องเล่าที่อยู่เบื้องหลังอนุสาวรีย์ทั้งสองแห่งนี้พอจะสรุปได้ว่า อนุสาวรีย์ปราบกบฏที่หลักสี่และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีความเกี่ยวเนื่องกันต่อการสร้างความทรงจำหรือการสร้างเรื่องของประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย นั่นคือการที่คณะราษฎรได้ชัยชนะเหนือคู่ต่อสู้ หรือพูดง่าย ๆ คือฝ่ายเจ้า และเป็นการย้ำเตือนผู้คนให้ระลึกถึงคุณูปการของคณะราษฎรที่มีต่อการฝังเมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตยลงบนผืนแผ่นดินไทย
เรื่องเล่าเกี่ยวกับประชาธิปไตยในแบบที่ 2 ถูกนำเสนอผ่าน พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 ที่หน้ารัฐสภา ซึ่ง ดร. ธงชัยสรุปว่า เป็นประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยแบบยืนยันถึงหลักการของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และยืนยันถึงบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยของไทย
อนุสาวรีย์แห่งนี้เคยมีผู้เสนอให้สร้างตั้งแต่ปี 2512 โดยมีบันทึกถึงประธานรัฐสภาในสมัยนั้นว่า "...อนุสาวรีย์นั้นจะแสดงถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ถ้าสามารถจะทำได้ก็จะให้มีพระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับยืนยื่นพระหัตถ์ แสดงการพระราชทานรัฐธรรมนูญ ให้กับปวงชน" แต่อนุสาวรีย์แห่งนี้ก็ยังไม่ปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง จนกระทั่งมาถึงสมัยนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้อนุมัติเงินจำนวน 10 ล้านบาทเป็นค่าก่อสร้าง ทั้งนี้ได้เปลี่ยนแบบอนุสาวรีย์ใหม่เป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับบนพระที่นั่งและแต่งพระองค์เหมือนในวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2523 ทั้งนี้อาจารย์นิธิ ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ในบทความชิ้นเดียวกันว่า "พระบรมราชานุสาวรีย์เป็นการประกาศว่า สิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยเป็นของพระราชทาน อาจจะเริ่มต้นตั้งแต่รัชสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ซึ่งได้เริ่มสั่งสอนการปกครองตนเองแก่ประชาชนไปทีละน้อย และมาถึงจุดสุดยอดในวันที่ 10 ธันวาคม 2475 เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญมาให้แก่ประชาชน"
อนุสาวรีย์แห่งนี้จึงมีนัยที่ปฏิเสธหลักการที่ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย แต่ยืนยันในหลักการที่ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของพระมหากษัตริย์ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่ประชาชน คำจารึกที่ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ที่ว่า "ข้าพเจ้ายินดีสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าแก่มหาชนชาวสยามทั้งมวล..." เท่ากับเป็นการย้ำหลักการข้างต้นให้เห็นชัดเจน
ดร. ธงชัยได้เปรียบเทียบเรื่องเล่าของประชาธิปไตยผ่านพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 นี้ กับเนื้อหาของภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "พระที่นั่งอนันตสมาคม" ซึ่งจัดทำโดยรัฐสภา โดยเห็นว่าเป็นประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยแบบเดียวกัน ภาพยนตร์สารคดีดังกล่าวพูดถึงภารกิจของพระมหากษัตริย์ไทยโดยเฉพาะรัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 ต่อการวางรากฐานการปกครองแบบประชาธิปไตย ได้แก่การที่รัชกาลที่ 5 ทรงเล็งเห็นการณ์ไกลที่จะสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม ให้เป็นที่ประชุมสภา แต่พระองค์สวรรคตเสียก่อน ต่อมารัชกาลที่ 6 ก็ได้ทรงสร้างต่อจนสำเร็จ และยังทรงสืบทอดการวางรากฐานประชาธิปไตยจากพระราชบิดา โดยการสร้าง "ดุสิตธานี" ภารกิจนี้สืบทอดมาจนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 7 พระองค์ได้ทรงริเริ่มเทศบาล พยายามร่างรัฐธรรมนูญ ตระเตรียมการเป็นลำดับที่จะทรงมอบประชาธิปไตยแก่ปวงชนชาวไทย ทว่าคณะราษฎรมา "ชิงสุกก่อนห่าม" เสียก่อน นั่นคือกรณีปฏิวัติ 2475 กล่าวโดยสรุปก็คือ พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้พยายามจะบอกว่า ประชาธิปไตยในไทยนั้นได้มาจากสถาบันกษัตริย์ มิได้มาจากการดำเนินการของคณะราษฎร
อนุสาวรีย์สุดท้ายซึ่งจะบอกเล่าเรื่องราวของประชาธิปไตยที่แตกต่างออกไปอีกแบบหนึ่งก็คือ อนุสาวรีย์วีรชน แนวความคิดที่จะสร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้เริ่มตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 แต่ก็ยังไม่ได้สร้างจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 และเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 บัดนี้อนุสาวรีย์ดังกล่าวมีเพียงตอปูนที่ตั้งอยู่ท่ามกลางแผงจำหน่ายล็อตเตอรี่ที่สี่แยกคอกวัว มีการวิเคราะห์ถึงสาเหตุอันหลากหลายที่ทำให้ไม่มีอนุสาวรีย์วีรชน นับตั้งแต่ปัญหาด้านเทคนิคเกี่ยวกับสัญญาเช่าที่ดินไปจนถึงปัญหา ที่เกิดจากความคิดของรัฐบาลที่อาจไม่ต้องการให้มีสิ่งที่เป็นเสมือนการประจานความผิดของตน นั่นหมายถึงว่าประชาชนไม่สามารถพูดถึงเรื่องที่พวกเขาสามารถต่อสู้และโค่นอำนาจรัฐได้
ตามความเห็นของ ดร. ธงชัย ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยที่อ่านได้จากอนุสาวรีย์ที่ยังสร้างไม่เสร็จแห่งนี้คือ "ประวัติศาสตร์ของประชาธิปไตยที่มาจากการเดินขบวนประชาธิปไตยที่มาจากการที่ประชาชนสู้กับรัฐบาล ไม่ได้มาจากการที่ใครให้ แต่ประชาชนร่วมกันสู้และชิงเอามา เป็นอนุสาวรีย์ที่ยืนยันและฟ้องว่ารัฐใช้กำลังฆ่าคนของตัวเอง"
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเล่าหรือประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยที่ถูกนำเสนอผ่านอนุสาวรีย์ทั้ง 4 แห่ง ซึ่งพูดถึงที่มาของประชาธิปไตยไทยในบริบทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สงครามของอนุสาวรีย์ที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยยังไม่จบลง การต่อสู้ของเรื่องเล่าแบบต่าง ๆ จะยังคงมีอยู่ต่อไป และเรื่องเล่าแบบใหม่ก็อาจถูกสร้างขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ ในสังคมไทย ส่วนใครจะเลือกเชื่อเรื่องไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับจุดยืนทางการเมืองของแต่ละคน